วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

ระบบร่างกายมนุษย์
            ในการศึกษาทางจิตวิทยา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งการที่มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมใด ๆ ออกมานั้นเป็นเพราะระบบการทำงานของร่างกาย
ระบบผิวหนัง


         

( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

            ทำหน้าที่ห่อหุ้มปกคลุมร่างกาย ประกอบด้วยผิวหนัง (Skin) และอวัยวะที่เปลี่ยนแปลงมาจากผิวหนัง เช่น ขน ผม เล็บ ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน
ระบบกล้ามเนื้อ
        

( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

              ทำหน้าที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว
ระบบโครงกระดูก

( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

              ทำหน้าที่ทำงานร่วมกับระบบกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นโครงร่างของร่างกายอีกด้วย
ระบบไหลเวียนโลหิต
            
( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
            ทำหน้าที่นำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์กับของเสียจากเซลล์มาขับทิ้ง นอกจากนี้ ยังนำฮอร์โมนที่ผลิตได้จากต่อมไร้ท่อเพื่อส่งไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
ระบบหายใจ
                 

( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

            ระบบหายใจ คือ ระบบที่ร่างกายแลกเปลี่ยนแก๊ส โดยร่างกายจะรับแก๊สออกซิเจนที่อยู่ภายนอกเข้าสู่ร่างกาย และขับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย อวัยวะที่สำคัญในระบบนี้ได้แก่ จมูก หลอดลม ปอด กล้ามเนื้อกระบังลมและกระดูกซี่โครง
ระบบประสาท


            

( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

            ระบบประสาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system หรือ CNS) ประกอบด้วยสมองและไขสันหลังและระบบประสาทส่วนปลาย หรือระบบประสาทรอบนอก ( peripheral nervous system หรือ PNS) ประกอบด้วยเส้นประสาทสมอง (cranial nerve) และเส้นประสาทไขสันหลัง (spinal nerve) และระบบประสาทอัตโนมัติ
ระบบย่อยอาหาร

           ทำหน้าที่ย่อยสลายอาหารที่รับประทานเข้าไปให้เป็นสารอาหาร และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 

 ระบบขับถ่าย

( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)




           การขับถ่ายเป็นระบบกำจัดของเสียจากร่างกาย และช่วยควบคุมปริมาณของน้ำในร่างกายให้สมบูรณ์ประกอยด้วย ไต ตับ และลำไส้ เป็นต้น
ระบบสืบพันธุ์เพศชาย


( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

 
           อวัยวะที่สำคัญในระบบสืบพันธุ์เพศชาย ประกอบด้วย
1. อัณฑะ (Testis) เป็นต่อมรูปไข่ มี 2 อัน ทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิ (Sperm)
2. ถุงหุ้มอัณฑะ (Scrotum) ทำหน้าที่ห่อหุ้มลูกอัณฑะ
3. หลอดเก็บตัวอสุจิ (Epididymis) อยู่ด้านบนของอัณฑะ มีลักษณะเป็นท่อเล็กๆ
4. หลอดนำตัวอสุจิ (Vas Deferens) อยู่ต่อจากหลอดเก็บตัวอสุจิ ทำหน้าที่ลำเลียงตัวอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ
5. ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ (Seminal Vesicle) ทำหน้าที่สร้างอาหารเพื่อใช้เลี้ยงตัวอสุจิ
6. ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) อยู่ตอนต้นของท่อปัสสาวะ
7. ต่อมคาวเปอร์ (Cowper Gland) อยู่ใต้ต่อมลูกหมากลงไปเป็นกระเปาะเล็กๆ ทำหน้าที่หลั่งสารไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง

( ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


           ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
1. รังไข่ ( Ovary ) มีรูปร่างคล้ายเม็ดมะม่วงหิมพานต์
1.1. ) ผลิตไข่ (Ovum) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง
1.2 ) สร้างฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่
อีสโทรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับมดลูก ช่องคลอด ต่อมน้ำนม และควบคุมการเกิดลักษณะต่างๆ ของเพศหญิง
2.
ท่อนำไข่ หรือปีกมดลูก ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของไข่ออกจากรังไข่เข้าสู่มดลูก

ปิยะพล   พรมทอง

Honey....น้ำผึ้ง


  Honey...น้ำผึ้ง

                ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

น้ำผึ้ง มีประวัติการบริโภคของมนุษย์มายาวนาน และถูกใช้เป็นสารให้ความหวานในอาหารและเครื่องดื่มหลายยชนิด น้ำผึ้งยังมีบทบาทในศาสนาและสัญลักษณ์นิยม รสชาติของน้ำผึ้งแตกต่างกันตามน้ำต้อยที่มา และมีน้ำผึ้งหลายชนิดและเกรดที่สามารถหาได้ นอกจากนี้ ยังมีภูมิปัญญาที่ใช้น้ำผึ้งในการรักษาอาการเจ็บป่วย

สรรพคุณของน้ำผึ้ง
    น้ำผึ้งมีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามากมาย เช่น มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว สามารถทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนคนไข้กินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น ช่วยชูกำลัง และชาวอียิปต์จะนิยมนำน้ำผึ้งไปแช่ศพเพื่อป้องกันศพเน่าเสีย นอกจากนี้น้ำผึ้ง้เข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด
วิธีการผลิตน้ำผึ้ง
   ตัวผึ้งจะเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ลงสู่กระเพาะอาหารน้ำหวาน เมื่อผึ้งกลับมาถึงรังจะคายน้ำหวานแปรรูปนี้ ซึ่งจะรับกันปากต่อปาก ต่อมาผึ้งที่อยู่ประจำรังจะนำน้ำหวานไปเก็บในหลอดรวงน้ำผึ้ง ตอนเย็นผึ้งที่เก็บน้ำหวานไว้จะช่วยกันกระพือปีกช่วยให้มีการระเหยของน้ำหวานอีก จนได้น้ำผึ้งที่เสร็จสมบูรณ์
น้ำผึ้งกับความงาม
   น้ำผึ้งได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วน ช่วยบำรุงผิวหน้าได้หลากหลายวิธี
สำหรับผิวหน้าสดใสน้ำผึ้งเป็นผลิตผลจากธรรมชาติที่ใช้ในการดูแลผิวพรรณคู่กับน้ำนมมาอย่างยาวนาน น้ำผึ้งมีสารเพิ่มความชุ่มชื้น มีฮอร์โมนมีสารที่มีฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถผสมในสมุนไพรอื่นที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวเช่น นม กล้วย มะละกอ ขมิ้น บัวบก มะม่วง เป็นต้น โดยพอกหน้า ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก
สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่ายๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอมครึ่งลูกมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก
ให้ใช้น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอนไซม์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น
เพื่อผมเงางาม
หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใดๆ                           

สุรางคนา รุณแสง

ผึ้ง...แมลงที่มีแต่ให้


                                    ผึ้ง...แมลงที่มีแต่ให้


                                                          ภาพจากอินเตอร์เน็ต

 

ความเป็นมาของผึ้ง

              ผึ้ง  คือ  สัตว์ชนิดแรกที่สอนให้ทุกคนรู้จักกับรสหวาน  มีภาพวาดเป็นหลักฐานอยู่ที่ผนังถ้ำในประเทศสเปน  เมื่อคนเรารู้จักเขียนหนังสือ  ชาวอียิปต์ก็ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผึ้งและการเลี้ยงผึ้งเป็นครั้งแรก  พระเจ้าเมนิส  ฟาโรห์แห่งอียิปต์ในสมัยนั้นได้ใช้ผึ้งเป็นเครื่องหมายประจำตัวของพระองค์เพราะผึ้งมีความสำคัญต่อชาวอียิปต์มาก

ชนิดของผึ้ง

               ชนิดของผึ้ง  มีอยู่  5  ชนิด ได้แก่  ผึ้งหลวง  ผึ้งมิ้ม  ผึ้งมิ้มเล็ก  ผึ้งโพรงไทย  และผึ้งโพรงฝรั่ง  ทั้ง  5 ชนิดก็มีขนาดแตกต่างกันออกไป  ผึ้งหลวงจะมีขนาดตัวและรังใหญ่สุด  จะชอบอาศัยอยู่ในป่าและตามชนบทต่างๆ  ผึ้งมิ้มจะสร้างรังบนต้นไม้ที่ไม่สูงมากเกินไป  ผึ้งมิ้มเล็กจะสร้างรังในซุ้มไม้และบนกิ่งไม้ขนาดเล็กที่ไม่สูงมาก  ผึ้งโพรงไทยจะสร้างรังในโพรงไม้  ส่วนผึ้งโพรงฝรั่งจะทำรังหลายๆรังรวงห้อยลงมาขนานกันอยู่ตามโพรงไม้

ลักษณะทั่วไปของผึ้ง

            จะประกอบด้วยกัน  3  ส่วน  คือ  ส่วนหัว  ส่วนอก  ส่วนท้อง  ส่วนหัวจะประกอบด้วยอวัยวะรับความรู้สึกต่างๆ  ส่วนอกจะประกอบด้วยปล้อง  4  ปล้อง  ส่วนท้องของผึ้งงานละผึ้งนางพญาจะเห็นภายนอกเป็น  6  ปล้อง

วรรณะของผึ้ง

             จะแบ่งออกเป็น  3  วรรณะ  คือ  ผึ้งนางพญา  ผึ้งตัวผู้และผึ้งงาน  ทั้ง  3  วรรณะจะมีขนาดละลักษณะแตกต่างกันออกไป  ผึ้งนางพญาจะมีขนาดใหญ่และมีลำตัวยาวกว่าผึ้งตัวผู้ละผึ้งงาน   ผึ้งนางพญาจะมีเหล็กไนไว้ต่อสู้กับนางพญาตัวอื่นเท่านั้น  จะมีหน้าที่ผสมพันธุ์และวางไข่  ส่วนผึ้งตัวผู้จะตัวอ้วน  ไม่มีเหล็กไน ส่วนผึ้งงานจะมีขนาดเล็กที่สุดภายในรังแต่มีปริมาณมากที่สุด  จะมีหน้าที่ไปหาอาหารและมีเหล็กไนไว้สำหรับทำร้ายศัตรู

ภาษาของผึ้ง

              จะมีจังหวะ  2  แบบ  คือ การเต้นรำแบบวงกลมและการเต้นรำแบบส่ายท้อง  โดยการเต้นรำแบบวงกลมนั้น  ผึ้งจะเดินเป็นวงกลมเล็กๆบนรวง  เปลี่ยนทิศทางอยู่บ่อยๆ  ส่วนการเต้นรำแบบส่ายท้อง  ผึ้งจะเดินแบบครึ่งวงกลมทางซ้ายแล้วเดินเป็นเส้นตรงพอถึงจุดเริ่มก็เดินขวาเป็นรูปครึ่งวงกลม  ผึ้งจะส่ายท้องขณะเต้นรำ

ประโยชน์ของผึ้ง

               ประโยชน์ของผึ้งนั้นมีมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ทางด้านการเกษตร  คือ  ผึ้งจะช่วยเพิ่มเกสรของพืชเศรษฐกิจมากมาย  ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ผึ้ง  เช่น  เป็นอาหารเสริม  เป็นส่วนผสมในยารักษาโรคหลายอย่าง  โดยเฉพาะในยาแผนโบราณ

การใช้น้ำผึ้งทำอาหารและยา

             น้ำผึ้งเป็นสมุนไพรที่มีความสำคัญในหลายๆด้าน  เช่น  น้ำผึ้งเราสามารถนำมาช่วยแต่งรสยา  ช่วยรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา  ต้านข้ออักเสบ  แก้อาการท้องผูก  แก้นอนไม่หลับ  บรรเทาอาการไอ  บำบัดโรคเบาหวาน  ลดความดันโลหิตสูง  สามารถใช้ในการบำรุงผิวพรรณ  และอีกมากมาย
                                  
                                                                 สิริประภา   รัตนแก้ว
                                                                                                                     

พลังงานนิวเคลียร์


พลังงานนิวเคลียร์ 


การระเบิดของพลังงานนิวเคลียร์
(แหล่งที่มา : ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

                                             



พลังงานนิวเคลียร์ 
            
            หมายถึง พลังงานไม่ว่าลักษณะใดๆก็ตาม ซึ่งเกิดจากนิวเคลียสอะตอมโดย
1.   พลังงานนิวเคลียร์แบบฟิซชั่น (Fission) ซึ่งเกิดจากการแตกตัวของนิวเคลียสธาตุหนัก เช่น ยูเรเนียม พลูโทเนียม เมื่อถูกชนด้วยนิวตรอนหรือโฟตอน
2.   พลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่น (Fusion) เกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียสธาตุเบา เช่น ไฮโดรเจน
3.   พลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี (Radioactivity) ซึ่งให้รังสีต่างๆ ออกมา เช่น อัลฟา เบตา แกมมา และนิวตรอน เป็นต้น
4.   พลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการเร่งอนุภาคที่มีประจุ (Particle Accelerator) เช่น อิเล็กตรอน โปรตอน ดิวทีรอน และอัลฟา เป็นต้น

ประวัติศาสตร์

ภายหลัง สงครามโลกครั้งที่สอง ที่อุบัติขึ้นในปีพุทธศักราช 2482 และสิ้นสุดลในปีพุทธศักราช 2488 นั้น ญี่ปุ่นได้รับความเสียหายอย่างมาก จากการที่สหรัฐอเมริกาได้ใช้อาวุธแบบใหม่โจมตีญี่ปุ่น โดยทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกลงที่เมืองฮิโรชิมา ซึ่งเป็นฐานบัญชาการกองทัพบกของ ญี่ปุ่นทางตอนใต้ ประชาชนชาวญี่ปุ่นในเมืองดังกล่าวได้เสียชีวิตไป 80,000 คน และในจำนวนเท่าๆ กันได้รับบาดเจ็บ ตึกรามบ้านช่องกว่า 60% ได้ถูกทำลายลง ซึ่งรวมทั้งตึกที่ทำการของรัฐบาล ย่านธุรกิจ และย่านที่อยู่อาศัย และในอีกสามวันต่อมา ระเบิดปรมาณูลูกที่สองก็ถูกทิ้งลงที่เมืองนางาซากิ ซึ่งเป็นเมืองท่าชายทะเลมีโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ชาวญี่ปุ่นได้เสียชีวิตระหว่าง 35,000 ถึง 40,000 คน และได้รับบาดเจ็บในจำนวนที่ไล่เลี่ยกัน จากความเสียหายอย่างมหันต์ในคราวนั้น ทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมเซ็นสัญญาสันติภาพ ซึ่งระบุให้จักรพรรดิและรัฐบาลญี่ปุ่นอยู่ใต้การปกครองของผู้บัญชาการสูงสุด ของทหารสัมพันธมิตร

อันตรายและความเสี่ยง

            การทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารกัมมันตภาพรังสีเป็นเวลานานอาจทำให้เนื้อเยื่อ บางส่วนของร่างกายเสียหาย หรือก่อให้เกิดมะเร็งในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ อาทิเช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว และยังทำให้ผู้ที่ได้รับมีความผิดปกติทางเซลล์พันธุกรรมเช่น สัตว์เกิดไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีตา ไม่มีสมอง และยังทำลายคนที่ไม่รู้วิธีป้องกันป่วยลง แต่อันตรายจากรังสีในปัจจุบันที่ได้รับมากที่สุดคือ ถ่านไฟฉายแต่จะเป็นรังสีจากโคบอล 60 ซึ่งมีวิธีการคือ อย่าแกะสังกะสีออก และใช้แล้วควรทิ้งทันที โดยทั่วไปรังสีที่เจอเป็นอันดับ 2 คือ รังสีเอกซ์ตามโรงพยาบาลในห้องเอกซ์เรย์ ซึ่งจะมีป้ายเตือนไว้หน้าห้องแล้ว และไม่ควรที่จะเข้าใกล้มากนัก หากพบว่ามีวัตถุที่แผ่รังสี ควรที่จะหลีกไป

ปฏิกิริยานิวเคลียร์

            ปฏิกิริยานิวเคลียร์ คือปฏิกิริยาที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกับนิวเคลียสของอะตอม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม หรือลดโปรตอน หรือนิวตรอนในนิวเคลียสของอะตอม สามารถเกิดได้จาก

            ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน  เป็นการแตกนิวเคลียสของอะตอมจากอะตอมของธาตุใหญ่ให้กลายเป็นอะตอมของธาตุเล็ก 2 อะตอม ซึ่งในกระบวนการนี้จะให้พลังงานออกมาด้วย 

            ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน  จะตรงข้ามกับฟิชชัน นั่นคือแทนที่จะแตกอะตอมของธาตุหนักให้เป็นธาตุเบา ก็จะกลายเป็นการรวมธาตุเบาสองอะตอมให้กลายเป็นอะตอมเดียวที่หนักขึ้น


ความจำเป็นและเหตุผลรองรับในการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้

            ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่า ตั้งแต่ .. 2393 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน การบริโภคพลังงานของโลกเพิ่มขึ้นเพียง 4 เท่า ในช่วง .. 2525 - 2533 ความต้องการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้น 24% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 - 70% ใน .. 2563 ถึงแม้จะมีความพยายามอย่างมากที่จะใช้พลังงานอย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพ สำหรับประเทศไทยก็ตกอยู่ในภาวะเดียวกัน คือ การบริโภคพลังงานของประชาชนมีอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด ในขณะเดียวกันทิศทางการพัฒนาประเทศกำลังมุ่งหน้าไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม พลังงานถือว่าเป็นปัจจัยที่จะเกื้อหนุน ผลักดันอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจให้ก้าวไกลไปได้ พลังงานจะต้องมีราคาถูก รวมทั้งมีใช้อย่างพอเพียง มิฉะนั้นจะทำให้การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมต้องหยุดชะงัก และนักลงทุนต่างชาติรวมทั้งในประเทศ จะเลิกเชื่อถือรัฐบาลที่ไปเชิญชวนให้มาลงทุนแล้วไม่สร้างปัจจัยพื้นฐานไว้ รองรับ จึงมาถึงคำถามที่ว่า ไทยมีพลังงานสำรองไว้ใช้ในอนาคตสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเพียงพอหรือไม่ ในขณะที่ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้น ทางเลือกที่จำเป็นที่จะต้องกระทำ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ในอนาคตไทยจะไม่ขาดแคลนพลังงาน ก็คือ การหาแหล่งพลังงานใหม่เข้ามาสำรองแหล่งพลังงานที่กำลังจะหมดไป สำหรับแหล่งพลังงานที่มองเห็นได้เด่นชัดซึ่งจะมีบทบาทอย่างมากที่จะเข้ามา เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ คือ พลังงานนิวเคลียร์ โดยจะนำมาใช้ในรูปของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เมื่อพิจารณาถึงทางเลือกในการผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการ ประกอบอุตสาหกรรมและอื่นๆ นั้น จะเห็นว่า การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนจะมีต้นทุนต่ำสุดแต่เมื่อครั้งใดที่รัฐบาลมีนโยบายที่ จะสร้างเขื่อนก็มักจะมีกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติออกมาต่อต้าน จนโครงการหลายแห่งต้องยืดเวลาออกมา หรือไม่ก็ล้มเลิกไป ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินหรือน้ำมัน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูง และเสี่ยงต่อความไร้เสถียรภาพด้านพลังงาน เนื่องจากทั้งถ่านหินและน้ำมันจะต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศเป็นหลัก แม้จะมีแหล่งถ่านหินอยู่จำนวนหนึ่งแต่ก็สามารถใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามแผน ได้อีกในระยะเวลาเพียง 10 ปี เท่านั้น จึงคาดกันว่าในทศวรรษหน้าการผลิตพลังงานของประเทศต้องเผชิญทางเลือกสามทาง ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ นำเข้าถ่านหิน, นำเข้าเทคโนโลยีนิวเคลียร์ หรือทั้งถ่านหินและเทคโนโลยีนิวเคลียร์



ศุภมิตร   เบิกนา